ซากซับกระท้อน ภาคจบ
ป่าซับกระท้อนแดนดิบดงเถื่อน
วงข้าวยังไม่ทันจะเริ่ม เสียงหมาเห่าก็ดังแว่วมาจากหมู่บ้าน มันเหมือนหมาบ้านยิ่งกว่าจะเป็นเสียงของหมาใน พรานอินผุดลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับสบดออกมาอย่างแปลกใจ "อะไรว่ะ หมู่บ้านร้างอย่างนี้ ยังจะมีหมาอยู่อีกเหรอว่ะเนี่ย"
ป่ามืดสลัวเย็นวังเวง บนท้องฟ้ามีพระจัทร์เสี้ยวข้างขึ้นแขวนอยู่เหนือยอดเขา ในเสียงซู่ซ่าของสายลมหนาวที่พัดผ่านยอดไม้และซอกเขานั้น มีเสียงหมาเห่ากรรโชกมาเป็นพักๆ เสียงนั้นแว่วมาจากที่ไกลๆ ฟังแล้วเหมือนว่าจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พรานชุ่มพูดว่า "เสียงเหมือนหมาบ้านนะ" แล้วคว้าปืนขึ้นมาถือ พรานอินเพ่งสายตาผ่านความมืดไปทางทิศที่ได้ยินเสียง แล้วพูดว่า "ก็หมาบ้านน่ะสิ มันมาได้ยังไงวะ" พรานชุ่มหันไปถามทิดช่วยว่า "แถวนี้นอกจากโป่งกระทิงแล้วยังมีบ้านใกล้ๆอีกหรือเปล่า"
ทิดช่วยตอบกลับว่า "ไม่มีหรอก ที่นี่เป็นหมู่บ้านที่ลึกสุดแล้ว" พรานชุ่มสงสัยจึงพูดออกมาว่า "เอะ หรือว่ายังมีคนในหมู่บ้านหลงเหลืออยู่บ้าง" พรานอินแย้งขึ้นว่า "เฮ้ย ก็เห็นกันอยู่ว่าบ้านเรือนมันผุพังหมด จะมีใครอยู่ได้ยังไง ไร่ก็รกเป็นป่า แต่เอาเถอะ ถ้ามันเป็นหมาบ้านจริงๆ ก็ต้องมีคนอยู่ เพราะถ้าไม่มีคน หมาบ้านมันอยู่ตัวคนเดียวไม่ได้หรอก ช่างมันเถอะ กินข้าวกันดีกว่า"
การกินข้าวน่าจะอร่อยมากกว่านี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเสียงของหมา ที่มันทำให้ทุกคนมีคำถามอยู่ในใจ แค่มาพบหมู่บ้านร้างในไร่ซาก มันก็หน้าฉงนมากอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาได้ยินเสียงหมาเห่าเหมือนว่ายังมีคนอยู่อีก คิดแล้วงงเหลือเกิน
กินข้าวกันเสร็จ เสียงน้ำที่มันกระทบหินในลำธาร ก็ทำให้ป่าไม่เงียบจนเกินไป พรานอินหยิบเหล้าที่ติดมาขึ้นมาจิบ แล้วส่งต่อให้เพื่อนหมุนเวียนกันไป เพื่อแก้อากาศหนาวเย็น เหล้าป่าดีกรีแรง มันช่วยทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นเยอะ
ทิดช่วยถามหลังจากที่จิบเหล้าที่พรานชุ่มส่งให้ว่า "คืนนี้จะเอายังไงกันดีอ่ะ ไหนๆก็ไม่ได้นอนในหมู่บ้านกันแล้ว" พรานอินจึงบอกแผนว่า "ออกเดินส่งไฟกันดีกว่าว่ะ รอยตีนกวางเดินย่ำริมห้วยเป็นทางเลย หาเนื้อย่างสักคนละหาบสองหาบแล้วค่อยกลับ จะได้ไม่เสียเที่ยว"
ทิดช่วยถามว่า "จะไปกันสามคนเลยเรอะ" พรานอินก็บอกว่า "ไปทำไมสามคน เกะกะหนวกหูกันเปล่าๆ เอาอย่างนี้ พรานชุ่มเดินไปตามทางต้นน้ำคนเดียว ส่วนทิดช่วยไปทางปลายน้ำกับข้า"
ทิดช่วยได้ยินแบบนั้นก็ทำน่าตื่น ถามกลับว่า "อ่ะๆ ปลายน้ำทางหมู่บ้านน่ะรึ จะดีรึ" พรานอินตอบว่า "สบายใจได้ เอ็งก็น่าจะรู้หนิว่าไปกับใคร" ทิดช่วยจึงพูดว่า "เออถ้าพรานอินรับรองอย่างนั้นก็เอา เป็นอะไรก็เป็นกัน อาจจะได้เจอกับไอ้หมาตัวที่เห่านั้นก็ได้ จะได้รู้กันเลยว่ามันเป็นอะไร"
เวลาเกือบจะสามทุ่ม เงาพระจันทร์เคลื่อนต่ำลงจวนจะลับยอดเขา ลมหนาวยังพัดโชยมาเพื่อความเย็นยะเยือก พื้นน้ำเหนือลำห้วยมีละอองหมอกลอยกรุ่น พรานชุ่มเตรียมปืนแก๊ป ไฟฉายติดหน้าผาก ฉวยย่ามขึ้นคล้องไหล่ พรานอินตรวจดูย่าม บรรจุกระสุนปืน ส่วนทิดช่วยนอกจากปืนแล้ว ยังเหน็บมีดดาบยาวติดหลังไปอีกเล่มหนึ่ง
นัดหมายกันว่าถ้าหลังเที่ยงคืนยังไม่ได้อะไร ก็ให้กลับมาพักผ่อนนอนกัน พรานชุ่มเดินเรียบแนวตามลำห้วยไปทางต้นน้ำ บนพื้นดินทรายสลับก้อนหิน มีร่องรอยทางเดินของคนในหมู่บ้านที่เริ่มจะรกร้าง ด้วยรอยสัตว์ป่าหลายชนิด ทั้งหมูป่า เก้งและกวาง
พรานชุ่มรู้ดีว่า มีไร่ร้างหรือไร่ซากที่ไหน สัตว์ป่ามักจะชอบหาผักหาหญ้าชาวบ้านที่ทิ้งไว้กิน พระจันทร์ลดต่ำลับแนวยอดเขาไปแล้ว แนวป่าเริ่มดำมืดขึ้นทุกขณะ แสงไฟบนหน้าผากกราดส่องไปกระทบผืนน้ำในลำห้วยวอมแวม
มีแสงตาแดงๆเล็กๆ สะท้อนมาจากริมตลิ่ง มันอาจเป็นตาของพวกแมลงเล็กๆ กบเขียดหรือปูภูเขา เดินไกลออกไปเรื่อยๆ ปารกทึบขึ้น เส้นทางเต็มไปด้วยก้อนหินโตๆ ทำให้เดินได้ค่อนข้างลำบากมาก เสียงซู่ซ่าของสายน้ำนั้น กลบเสียงที่เป็นรหัสของป่าจนหมดสิ้น
พรานชุ่มส่องไฟไปเบื้องหน้า ไกลออกไปเป็นธารน้ำตก เส้นทางเรียบลำห้วยหมดไปกลายเป็นหน้าผาชัน กำลังจะหาลู่ทางปีนหน้าผาต่อไป เมื่อหันไปรอบๆ แสงไฟฉายบนหน้าผากก็ปะทะเข้ากับดวงตาคู่หนึ่ง ดวงตาขนาดใหญ่ สีแดงวาวเหมือนกับทับทิมเม็ดโต มองจ้องสวนแสงไฟไม่กระพริบ
พรานชุ่มสะดุ้ง แม้ว่าจะเป็นพรานมานาน แต่ยังไม่มีโอกาสจะเจอดวงตาแบบนี้ในระยะใกล้สักครั้ง ขึ้นชื่อว่าเสือ ต่อให้เป็นพรานก็อดระทึกใจไม่ได้ นึกอยากจะให้พรานอินอยู่ด้วย ถ้าพราดจะได้ให้ช่วยซ้ำ เพราะปืนแก๊ปไม่เปิดโอกาสให้แก้มือได้ในระยะขนาดนี้ ตลอดเวลา สายตาแดงก่ำนั้นยังจ้องไม่หลบเหมือนท้าทาย พรานชุ่มประทับปืนเล็งนิ่ง กลั้นหายใจแล้วก็เหนี่ยวไก "ปั้ง!!"
พรานอินกำลังเดินช้าๆอย่างไม่เร่งร้อน ไฟฉายบนหน้าผากกราดไปซ้ายทีขวาที บางทีก็กราดไล่ขึ้นไปบนเนินเขา ทิดช่วยเดินตามหลังมาด้วยความระมัดระวัง แต่ไม่วายต้องสะดุดก้อนหิน เซถลาซะหลายครั้ง เมื่อพรานอินไม่ได้มองต่ำ ทำให้มองไม่เห็นทาง
คนทั้งสองเห็นกับตาว่าทางเดินเรียบลำห้วยนั้น แม้จะไม่มีคนใช้มานานนับปี แต่กลับไม่รก มันค่อนข้างเตียน เพราะมีรอยสัตว์เดินไปเป็นทาง แต่สิ่งที่ทำให้สบายใจก็คือ รอยเท้าที่ย่ำไว้เป็นเทือก ล้วนแต่เป็นรอยเท้าสัตว์ที่กินหญ้าทั้งสิ้น ไม่ว่าหมู เก้ง กวาง กระทั้งกระทิง หรือวัวแดงก็มีอยู่ห่างๆ
ถ้าเป็นแบบนี้ เสียงของหมาเห่าที่ได้ยินนั้น อาจจะเป็นหมาบ้านซึ่งหลงเหลืออยู่ก็ได้ นึกได้อย่างนั้นก็อยากจะเจอกับเจ้าของเสียง อย่างน้อยถ้ามันพูดไม่ได้ ก็อาจจะเป็นกุญแจเปิดเผยอะไรให้รู้ได้สักอย่าง
ตอนนี้พระจันทร์ลับไปนานแล้ว ไร่ซากในหุบเขาแห่งนี้มืดสลัว ลมหนาวพัดมาคราวใดทำให้หนาวสะท้าน เสียงใบไม้แห้งดังแกรกกรากเบาๆอยู่ทั่วบริเวณ พรานอินกำลังกวาดสายตา โดยที่มีไฟฉายติดหน้าผากของแกไปด้วย ไล่ขึ้นไปตามเนิน ผ่านกระท่อมหลังหนึ่ง ซึ่งทันใดนั้นก็ต้องหยุดกระทันหัน
เมื่อสะดุดเข้ากับแสงตาเขียวเรืองชัดเจน กำลังจะยกปืนขึ้นเล็งโดยสัญชาตญาณพราน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อเสียงเห่าดังลั่นขึ้น จนคนทั้งสองสะดุ้ง ป่าอันสงัดเงียบเยือกเย็นด้วยไอหมอกและลมหนาว อันมีความมืดปกคลุมไปทั่ว ไม่มีเสียงนกตบยุง ไม่มีเสียงเก้ง เหมือนทุกหนทุกแห่งทั้งเขานี้ มันเงียบปราศจากสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็กลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะเสียงของหมาเห่าดังขึ้น มันเหมือนกับปลุกโลกทั้งโลกให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล
ครั้งแรกคนทั้งสองสะดุ้ง แต่แล้วเมื่อเสียงเห่ามันยังคงดังต่อเนื่อง มันเห่ากรรโชกแบบหมาบ้านที่มีคนบุกรุก ฟังๆแล้ว น้ำเสียงมันเหมือนมีอาการหวาดกลัวอยู่ด้วย พรานอินกราดไฟฉายบนหน้าผากจ้องตรงไป
คราวนี้นอกจากแสงตาเขียวเรืองแล้ว ยังเห็นร่างเทาแดงลับๆล่อๆ อยู่ในเงามืดใต้ถุนกระท่อมหลังหนึ่ง "จุ๊ๆๆ" พรานอินเรียกหมาตัวนั้น เสียงเห่าที่ดังลั่น บัดนี้มันค่อยๆเบาลงๆ แล้วเจ้าของเสียงเห่า ก็เดินออกมาตามเสียงเรียกลองพรานอิน
ทั้งสองก้าวเข้าไปใกล้ๆ ทำให้เห็นร่างของหมาได้ชัดเจน มันเป็นหมาไทยธรรมดาตัวนึง ร่างผอมโกรก ขนสีออกแดงๆ ผอมเห็นซี่โครง หางยาวลู่ปิดก้น กระดิกหางอย่างไม่สู้ว่าจะไว้ใจ พรานอินเข้าไปลูบหัวมัน พร้อมกับพูดว่า "มานี่ๆ ไอ้แดง หัวแข็งจริงนะเอ็ง รอดคมเขี้ยวของเสือกับหมาในมาได้ไงวะ"
หมาผอมแสดงอาการดีใจ กระดิกหางจนตัวส่าย ครางอี๊ดๆ เลียมือของคนทั้งสองเป็นพัลวัน ทิดช่วยพูดขึ้นว่า "แต่หน้าแปลกนะ มันกินอะไรอ่ะ มันถึงได้อยู่รอดมาได้เป็นปี ไม่น่าเชื่อ" พรานอินจึงพูดว่า "เออ ก็ไม่น่าเชื่อ เรื่องกินมันคงจะจับหนูจับกระต่ายมากินปะทังชีวิตมันมั้ง แต่ที่หน้าเหลือเชื่อคือ มันรอดจากเสือมาได้ยังไง"
พรานอินเงยหน้าแล้วส่องไฟฉายขึ้นไปบนกระท่อมหลังนั้น ทำให้แลเห็นพื้นฟากที่ปูไว้เริ่มจะผุพัง หลังคาแฝกก็หลุดลุ่ยล่าย บันไดไม้ไผ่แบบบันไดลิงโดนแดดเผาจนเริ่มจะกร่อน มีไม้กระดานแผ่นใหญ่ พาดตรงไปตรงช่องประตู
พรานอินพูดขึ้นว่า "อ๋อ เห็นแล้วไอ้แดง เอ็งคงอาศัยไม้แผ่นนั้นปีนขึ้นไปนอนบนบ้านแน่ๆเลย ทำให้รอดคมเขี้ยวเสือมาได้ ถ้านอนอยู่กับพื้นดินก็คงจะได้ไม่กี่คืนหรอก" ทิดช่วยเดินมาลูบหัวหมา แล้วบ่นออกมาว่า "น่าสงสารโว้ย อยู่ตัวเดียวคงจะเหงาแย่ เจ้าของเอ็งไปไหนหมดวะ"
อย่างไม่คาดคิด จู่ๆไอ้แดงที่กำลังแสดงอาการดีใจพบคนนั้น ก็ส่งเสียงเห่าขึ้นมาอีก เหมือนมันเห็นอะไรสักอย่างหนึ่ง ทำให้พรานอินรีบประทับปืนขึ้นไหล่ แล้วกราดไฟฉายไปรอบๆ ไอ้แดงมันเห่าแบบกลัวๆ จากเสียงเห่าก็กลายเป็นเสียงหอน
ป่ามืดและเงียบสงัดอย่างนั้น เสียงหอนอันเยือกเย็นของมัน ฟังแล้วโหยหวนชวนให้ขนหัวลุก เสียงของมันวังเวงปนเศร้าสร้อย เหมือนจะคอยหาเจ้าของ พรานอินตบหัวมันพร้อมกับจุ๊ปากบอกให้มันสงบ แล้วพูดว่า "เฮ้ย สงสัยต้องเอามันไปเลี้ยงซะแล้วละมั้งเนี่ย" ไอ้แดงยังคงแหงนหน้าหอนต่อไป
ระหว่างนั้นทิดช่วยรู้สึกหนาวๆร้อนๆชอบกล แค่เข้ามาที่ไร่ซากกลางดึกอย่างนี้ก็น่ากลัวอยู่แล้ว ยังจะมีเสียงหมาหอนเยือกเย็นเข้าไปอีก ทิดช่วยจึงพูดว่า "เฮ้อๆ หอนทำไม คิดถึงเจ้าของเหรอ หรือว่าเอ็งเห็นเจ้าของวะเนี่ย"
ยังไม่ทันทีจะขาดคำของทิดช่วย เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเบาๆ คนทั้งสองสะดุ้งสุดตัว มันเป็นเสียงลั่นออดแอดของพื้นกระท่อม พรานอินโดดออกมายืนพ้นชายคาทันที ทิดช่วยโดดตามออกไปติดๆ ยังไม่ทันทีใครจะทำอะไรถูก เสียงแหบๆก็ดังขึ้นมาจากบนกระท่อม
"ใคร ใครมาทำอะไรหมาข้า" อีกครั้งหนึ่ง ที่คนทั้งสองต้องสะดุ้ง เนื้อตัวเย็นเฉียบยิ่งกว่าตอนที่ได้เห็นหมาอยู่ตัวเดียว พรานอินประทับปืน จ้องไปทางที่ได้ยินเสียง ไฟฉายที่ยังอยู่บนหน้าผาก กรากไปเป็นลำสว่างจ้า
ทิดช่วยกระชับดาบในมือเพื่อเตรียมพร้อม เห็นชัดได้ว่ากระท่อมไม้โย้เย้มีอาการสั่นไหว แล้วแสงไฟจากตะเกียงกระป๋องก็ส่องสว่างขึ้น พรานอินร้องถามด้วยเสียงสั่นๆว่า "นั่นคนหรือผีวะ" เสียงแหบๆตอบกลับมาว่า "เอ็งก็เห็นแล้วนี่ นี่คนหรือผีล่ะ"
แสงไฟจากตะเกียงกระป๋อง ส่องให้เห็นชายชราคนหนึ่ง ผมหงอกขาวโพลน นุ่งกางเกงขาก้วยเก่าๆ มีผ้าขาวม้าสีมอๆพาดไว้บนไหล่ ชะโงกหน้าออกมาดูผู้มาเยือนทั้งสอง พรานอินจึงถามว่า "อ่ะ ลุงยังอยู่รึ ทำไมบ้านช่องทรุดโทรมนักล่ะ แล้วผู้คนไปไหนกันหมดเนี่ย" แต่ยังคงไม่สู้วางใจนัก ประทับปืนค้างไว้ที่บนไหล่
ชายชราตอบว่า "ข้าก็อยู่ของข้าที่นี่แหละ จะไปไหนก็เป็นห่วงไอ้แดงมัน ส่วนคนอื่นๆไปไหน อยากรู้ก็เข้ามาสิ จะเล่าให้ฟัง" พรานอินก้าวนำหน้า ทิดช่วยตามติดแบบไม่ยอมห่าง ตลอดเวลาไอ้แดงครางอี๊ดๆ สลับกันหอนเป็นระยะๆ
ชายชราชักชวนว่า "ขึ้นมาก่อนสิ ระวังบันไดมันเก่านะ เออ นั่งตรงนั้นก็ได้" พรานอินก้าวขึ้นมานั่งบนพื้นที่ลั่นออดแอดน่ากลัวว่าจะหัก ทิดช่วยตามขึ้นไปนั่งเบียดอีกคน ปล่อยให้ไอ้แดงครางอี๊ดๆแล้วก็หอนอยู่ข้างล่าง
เสียงอันแหบแห้งจากปากเจ้าของบ้านยามวิกาลก็เริ่มขึ้น "แรกๆก็สุขสบายกันดี ไข้ไม่ดุ เสือช้างไม่กวน ดินดีน้ำดี แต่ไอ้รื่นสิ ดันไปขุดเอาถ้วยชามโบราณขึ้นมาจากท้ายไร่ มันขนมาบ้านเป็นหาบๆ แรกๆก็ว่าเอาไว้ดูเล่น แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ คงจะโลภขึ้นมาน่ะ ก็เลยชวนกันไปขุดยกใหญ่ หวังจะบรรจุเกวียนไปขายข้างนอก"
ทิดช่วยถามด้วยความตื่นเต้นว่า "แล้วถ้วยชามมันมาได้ยังไงอ่ะลุง" "ตรงนี้มันเป็นที่พักของกองโจรสมัยโบราณ มันปล้นสะดมเมืองเค้ามาได้ ก็เข้ามาแบ่งสมบัติกันที่นี่" คนทั้งสองตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้น ลืมแม้แต่จะถามว่าแกรู้ได้ยังไง
"ไปเอาของเค้ามากไปเพราะความโลภ พอตกกลางคืนเท่านั้นแหละ กองโจรแต่งกายโบราณก็เข้ามาปล้นเรา นอกจากจะขนถ้วยชามกลับไปหมด ยังฆ่าพวกเราซะเกลี้ยง ลูกเล็กเด็กแดงไม่มีเหลือ ข้ารอดมาได้เพราะมัวไปค้างซะในป่า ก็เลยได้อยู่กับไอ้แดงมันเรื่อยมาเนี่ยแหละ"
พรานอินจึงถามว่า "ลุงอยู่ได้ยังไงคนเดียวกลางป่าเปลี่ยวอย่างนี้ เสือช้างมันไม่เข้ามากวนบ้างเหรอ" ชายชราตอบว่า "เหอะๆๆ ไม่หรอก แต่ข้าอยู่อีกไม่นาน เอ็งพาคนมาแทนไว้แล้วหนิ ยังไงเสีย เอ็งก็เอาไอ้แดงไปเลี้ยงด้วย คืนนี้เอ็งคงอยากกลับไปนอนที่พักของเอ็งมากกว่า ถ้าพรุ่งนี้มาอีกก็จัดการอะไรให้เรียบร้อยด้วยนะ ไปเถอะดึกแล้ว ข้าจะนอนล่ะ"
ชายชราพูดจบก็ดับตะเกียง ปล่อยให้พรานอินและทิดช่วยงงเป็นไก่ตาแตก เมื่อไม่สู้ว่าจะไว้ใจในสถาการณ์รอบตัว ทั้งสองคนจึงรีบเดินทางกลับที่พักกัน กว่าจะถึงที่โคนต้นกระบกก็เกือบตีสาม โดยไม่มีวี่แววของพรานชุ่ม
Comments
Post a Comment