ซากซับกระท้อน ภาคแรก(๒ตอนจบ)

 ป่าซับกระท้อนแดนดิบดงเถื่อน


เป็นป่าลึกกว้างใหญ่ กินพื้นที่อยู่หลายจังหวัด พื้นที่สลับซับซ้อนเป็นเขาสูง และมีลำห้วยลำธารหลายสาย เป็นป่าต้นน้ำที่ไหลลงแม่น้ำปิง ในเขตจังหวัดตากและกำแพงเพชร
 ซับกระท้อนไม่ค่อยถูกรบกวนจากผู้คนมากนัก เพราะมีป่าชนกันอยู่โดยรอบ มีหมู่บ้านเล็กๆอยู่หลายแห่ง กระจัดกระจายกันอยู่ตามเชิงเขาและริมลำห้วยทั่วไป หมู่บ้านเหล่านี้เป็นหมู่บ้านเถื่อน ไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีทะเบียนราษฎร์ของทางการ เนื่องจากบางบ้านนั้น เพิ่งจะย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่ง บางบ้านพออยู่ได้ไม่ทันไรก็ย้ายหนี เพราะสู้ภัยจากความดิบเถื่อนของพื้นที่ไม่ไหว

 มีทั้งโรคระบาด ส่วนมากไม่พ้นไข้ป่า หรือมาลาเรีย อาจจะมีไข้รากสาด หรืออหิวาต์บ้างก็บางครั้ง ไข้ป่าในถิ่นดงดิบแถบนี้จะรุนแรงมาก มาลาเรียบางชนิดเป็นแบบลงกระเพาะ มีอาการปวดท้องและเป็นไข้ เป็นๆหายๆ ร่างกายผอมลง แต่พุงป่องขึ้นทุกวัน หนักเข้าก็จะตาย ซึ่งจะช้าหรือว่าเร็วก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของร่ายกายแต่ละคน
 หมู่บ้านอยู่ห่างไกลความเจร็ญมาก เรื่องสุขอนามัยนั้นไม่ต้องพูดถึง นอกจากพวกชาวบ้านยังยากจน และความรู้ก็ยังน้อย ยังด้อยโอกาศไม่มีทางออกไปหาหมอ กว่าจะนั่งเกวียนโขยกเขยกออกไปถึงหมู่บ้านอื่น ก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวัน หลายครั้งก็ไม่สามารถพาคนไข้ไปถึงหมอได้ และก็ไม่ได้กลับบ้าน ต้องฝังกันไว้กลางทาง
 นอกจากจะต้องเจอกับไข้ป่า ก็ยังมีภัยจากสัตว์ร้ายอีกนานาชนิด ทั้งช้าง เสือ หมูป่า และหมาใน ที่จริงแล้วก็เพราะชาวบ้านไปบุกลุกที่อยู่ของพวกมันก่อน ช้างโขลงมักจะยกโขยงกันออกมาเหยียบย่ำพืชไร่ที่ปลูกเอาไว้ ทั้งข้าวโพด มันสําปะหลัง และถั่วต่างๆ พอได้กินเข้าครั้งนึงก็ติดใจ ปลูกพืชไว้พอติดดอกออกผล ช้างก็จะพากันมาบุกเสียหายยับเยินเหมือนเดิม
 ชาวบ้านฐานะยากจน เรื่องปืนผาหน้าไม้ดีๆจึงไม่มีใช้ ส่วนมากเอาไว้ยิงนกยิงหนู พวกกระรอก กระต่ายบ้าง ไอ้เรื่องจะไปยิงช้างก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยง ได้แต่ยิงไล่ หรือไม่ก็ตีเกราะเคาะไม้ไปตามเรื่อง นอกจากช้างก็ยังมีเสือลายพาดกลอน มาเพ่นพ่านให้อกสั่นขวัญหายกันทั้งหมู่บ้านอีก แม้ว่านานๆครั้งที่เสือจะกัดคน แต่ขึ้นชื่อว่าเสือ แค่ได้ยินชื่อชาวบ้านก็สั่นไปทั้งตัว
 ส่วนมากมักจะเป็นวัวควายมากกว่า ที่ว่าจะเป็นเหยื่อของเสือร้าย แต่แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ๆหน้ากลัว แต่ขณะเดียวกัน ธรรมชาติอันสวยงามร่มรื่น และอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารที่หาได้ง่ายๆ เช่นกุ้ง ปู ปลา หรือหอยจากลำห้วย ตามลำธารและหนองบึง ก็ยังมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่หามากินเป็นอาหารได้ไม่ยากมากนัก ตั้งแต่แย้ กระรอก กระแต กระต่าย จนถึงชะมด และอีเห็น ถ้ามีฝีมือหน่อยก็อาจจะได้พวกเก้ง ไม่ก็หมูป่า
 อากาศหนาวลงมาจากเทือกเขาทางเหนืออย่างต่อเนื่อง ต้นไม้ในป่าสูงทิ้งใบร่วงจนโกร๋น แต่ก็ยังมีไม้ล้มลุกอย่างบอน กูดหวาย และเถาวัลย์พันละโยงละยางตามลำห้วย ลมที่พัดลงมาตามช่องเขาทำให้เกิดเสียงแกรกกราก จากใบไม้ที่มันร่วงลงมา พวกน้ำที่อยู่ตามแหล่งลำห้วยก็เหลืออยู่ไม่มากนักเพราะความแล้ง
 บ่ายแก่ๆของวันหนึ่ง มีชายวัยกลางคนสามคน เดินลุยลำธารแห้งๆตามกันไป ทุกคนสะพานปืนแก๊ป และย่ามใส่ของที่จำเป็น คนเดินหน้าสอดส่ายสายตาไปตามตลิ่งสูงชัน อีกสองคนก้มๆเงยๆ ดูตามพื้นใต้ฝ่าเท้า ซึ่งบนทรายชื้นๆสลักันหินระเกะระกะ มีรอยเท้าของสัตว์ใหญ่ให้เห็นตลอด ตั้งแต่ช้าง กระทิง ลงมาถึงกวาง
 แต่ที่พบเห็นมากมายคือรอยของหมู ทั้งหมูป่าที่หากินอยู่ตัวเดียวโดดๆ เรียกว่าหมูโทน และก็มีทั้งที่มาเป็นหมู่คณะ มีรอยขุดคุ้ยของฝูงหมู ทำให้พื้นลำธารนั้นขรุขระ หมูพวกนี้กินได้หมดที่มันเจอ ตั้งแต่ไส้เดือน รากไม้ หัวมัน แม้กระทั่งงูต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่งูเห่า
 ในสามคนนี้ มีชมาชิกก็คือ พรานอิน ซึ่งเป็นคนต่างถิ่น แต่เคยได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือถึงความชุกชุมของสัตว์ป่าในซับกระท้อนมานานแล้ว มีเวลาจึงได้ชวนพรานชุ่ม ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ออกเดินทางมายังตีนเขาห้วยโสม จากนั้นก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านของเพื่อนเกลอในหมู่บ้านเล็กๆชายป่าอยู่อีกสองคืน
 จึงได้พากันชวนเพื่อนเกลอออกเที่ยวป่าหาล่าสัตว์ตามคำร่ำลือทันที ออกจากลำห้วยโสมกันตั้งแต่เช้า เดินบุกป่าฝ่าดงรกชัฏกันวันนึงเต็มๆ แต่ก็ยังไม่พบสัตว์ที่ควรค่าแก่การยิง ที่พบก็มีพวกลิงแสม ชะนี และค่างอีกฝูงใหญ่ ไม่นับนกที่มีอยู่เกลื่อนกลาดบนยอดไม้ใหญ่
 คืนแรก พรานอินทำเพิงพักนอนที่ใต้โคนต้นต้นมะเดื่อใหญ่ ซึ่งอยู่ริมห้วย ก็หุงหาอาหารกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ มีทั้งปลาดุกปลาช่อน ที่วิดได้จากวังน้ำในลำธาร และยังตะพาบน้ำที่พรานชื่นไปล้วงได้มาจากใต้ก้อนหิน ทำให้อาหารวันนั้น มีความอุดมสมบูรณ์กันมาก ทั้งพรานอิน พรานชุ่ม ทิดช่วย จึงอิ่มหนำสำราญกันไป
 เมื่อตกดึก พรานอินก็ชวนพรานชื่อออกเดินส่องไฟไปตามลำห้วย เพื่อตรวจดูรอยสัตว์ แต่ก็ยิงอะไรกันไม่ได้สักอย่าง กลับมาด้วยความผิดหวัง ได้มานอนจนใกล้รุ่ง วันรุ่งขึ้น ทิดช่วยพาพรานอินข้ามสันเขาไปสองลูก จากป่าแล้งเข้าสู่ป่าดงดิบ ที่ต้นไม้แทบจะไม่ผลับใบกัน
 รอยเกวียนเก่าๆก็ยังมีให้เห็น ต้นหญ้าประเภทโด่ไม่รู้ล้มและต้นไม้กวาด ขึ้นรกจนแทบจะมองไม่เห็น ทิดช่วยบอกกับพรานอินว่า"เท่าที่รู้มา ข้ามเขาลูกนี้ไป ก็ถึงหมู่บ้านที่เราพูดถึงเมื่อคืนน่ะ"
พรานอินพูดขึ้นว่า "นี่ก็บ่ายมากแล้ว รีบเดินกันเถอะ จะได้ไปพักที่หมู่บ้านนั้น" พูดเสร็จก็เร่งฝีเท้าขึ้น เมื่อเดินไปก็พบร่องรอยที่ตัดต้นไม้ไว้เป็นแถบๆ แสดงว่าใกล้หมู่บ้านมากแล้ว คนทั้งสามปีนฝ่าความลาดชันของขุนเขา เมื่อข้ามพ้นเส้นดอยก็แลเห็นไร่กว้าง สลับกับกระท่อม ที่เรียงรายอยู่ในหุบเขาลิบๆเบื้องล่าง
 ทั้งสามคนต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทาง ทั้งไต่เขา ไหนจะอากาศที่ร้อน และป่าอันรกชัฏอีก ไต่เขาเนินสูงอีกสองลูก ทำให้คนทั้งสามต้องพักหยุดหอบหายใจ สายตามองไปเบื้องล่าง ทั่วทั้งหุบเขากว้างใหญ่ มีลำธารสายนึงไหลผ่านที่ราบตรงกลาง ทำให้ดูเป็นทำเลที่น่าอยู่และน่าทำมาหากินมาก เพราะว่ามีน้ำผ่านอย่างทั่วถึง พื้นดินก็น่าจะดี เนื่องจากมีตะกอนทับถมกัน สายน้ำก็คงจะชะดินที่อุดมสมบูรณ์มาพอกพูนให้อยู่ทุกปี
 แต่เกิดอะไรขึ้น จากสายตาของคนทั้งสาม สิ่งที่เห็นก็คือ กระท่อมหลายสิบหลังที่เรียงรายอยู่ห่างๆตามเชิงเขาเหนือลำธารนั้น ทุกหลังมีสภาพทรุดโทรม หลังคามุมแฝกหลุดลุ่ย บางหลังเหลือเพียงพื้นกระดานที่มีเสาตั้งโย้เย้ บางหลังพังพาบลงมากองกับพื้น เหมือนโดนช้างพังทลาย บางหลังก็มีเถาวัลย์พันเกี่ยวรกรุงรังอยู่หลายหลัง
 พื้นที่ๆเคยเป็นทั้งไร่นาและแปลงปลูกผัก บัดนี้รกร้าง และมีวัชพืชขึ้นปกคลุมไว้จนแทบมองไม่เห็นอะไร ต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เป็นหลักฐานของการก่อตั้งบ้านเรือนในป่า ยังยืนต้นงอกงามอยู่ท่ามกลางพื้นหญ้าข้างล่าง
 ทั้งขนุน มะม่วง ส้มโอ น้อยหน่า มะขาม บางต้นมีล่องลอยขวิดของกวางหรือว่ากระทิง ส่วนยอดของบางต้นอาจจะถูกฉีกลงมาโดยช้าง ข้างบ้านหลายหลังก็ยังมีทั้งเกวียนและข้าวของเครื่องใช้อยู่อย่างครบครัน
 มันเกิดอะไรขึ้น สภาพอันร้างของบ้านโป่งกระทิง ทำให้ทั้งสามคนเกินความงุนงง ทิดช่วย คนบ้านซับกระท้อนเชิงเขาด้านล่างแสดงสีหน้าแปลกใจ พร้อมกับพูดว่า "ข้ารู้สึกงงจริงๆ ปีที่แล้วยังเอาของมาขายที่นี่อยู่เลย มาพักกับลุงจันตั้งสองคืน ทุกคนก็ดูอยู่สบายดี ไม่มีช้างไม่มีเสือรบกวน นี่ข้าไม่ได้มาเสียปีเดียวเอง มันร้างไปได้ยังไง"
พรานชุ่มออกความเห็นว่า "สงสัยเกิดเหตุร้ายมากกว่า เพราะถ้าย้ายบ้านธรรมดา ไม่น่าจะทิ้งเกวียนและของใช้เกลื่อนอย่างนี้" ทิดช่วยก็ถามพรานอินอย่างร้อนใจว่า "นี่ก็ใกล้จะค่ำลงแล้ว เราหวังจะมาพักกันที่นี่ แต่เมื่อมันเป็นอย่างงี้จะเอาไงกันดีอ่ะ"
พรานอินจึงพูดว่า "ข้าก็คิดอยู่ มันคงจะไม่เหมาะนัก ถ้าเราจะพักที่หมู่บ้าน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่รู้เลย รีบไปหาที่พักกันแถวต้นน้ำโน่นดีกว่า เดี๋ยวมันจะมืดซะก่อน" พูดจบก็ก้าวนำหน้าลิ่วไปเลย ทั้งสองคนเลยรีบเดินตาม
 พรานอินพาเดินบุกป่ารก ที่ยังพอมีร่องรอยการเดินป่าอยู่ลางๆ ต้นหญ้าและวัชพืชชึ้นปกคลุมจนหนาแน่น โชคดีที่มันเป็นหน้าแล้ง ทำให้มันแห้งตายไปซะมาก ไม่อย่างนั้นมันคงจะเป็นหารเดินที่ลําบากมาก ด้านขวาคือภูเขา บางช่วงก็มีดินหินทลายลงมาขวางทาง ซ้ายมือคือลาดเขา ทุ่งหญ้าสลับก่อนหิน ต้นพวง ต้นเหียงละยาง
 ทางเดินที่เดินอยู่นั้น คงเป็นทางเก่าที่ชาวบ้านต้อนฝูงสัตว์มาหากินหญ้าบนภูเขา เพราะเท่าที่สังเกตยังมีขี้วัวและขี้ควายแห้งๆให้เห็นเป็นระยะ พรานอินก็ได้แต่คิดไปด้วยในขณะที่กำลังเดิน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหมู่บ้านนั้นกันแน่ คิดอีกที ถ้าไม่มีคนอยู่ สัตว์เลี้ยงพวกนี้ก็ต้องตกเป็นอาหารของสัตว์ป่าหมด วัวควายและหมา เป็นอาหารโปรดของเสือและหมาใน ส่วนเป็ดไก่คงหนีไม่พ้นพวกอีเห็นและชะมด หรือไม่ก็งู
 การเดินเป็นไปอย่างเร่งรีบ เหงื่อไหลซึมท่วมตัว แม้ว่าอาการจะไม่ค่อยร้อน แต่ดวงอาทิตย์กำลังจะลับแนวจากสันเขาสูงซ้ายมือเรื่อยๆ ทำให้ช้ากันอยู่ไม่ได้ ในที่สุด เส้นทางลบเลือนก็ลดต่ำลง ปรากฏให้เห็นลำธารที่มีสายน้ำกระเซ็นประทะกับก้อนหิน ส่งเสียงดังซู่ซ่าเบาๆ ตรงทางที่สุดเขตหมู่บ้าน ใกล้แนวเทือกเขาสองเทือกชิดกัน โดยมีลำธารไหลผ่านกลาง
 ป่าบริเวณริมน้ำยังร่มครึ้มอยู่บ้าง มีพุ่มไม้เล็กที่ไม่ผลัดใบอยู่ขึ้นเบือดเสือด ทั้งผักแต้ว มะกอกน้ำ หวาย และผักป่าพวกบอน กล้วยป่า ผักกูด ผักหนาม และผักแพวขึ้นหนาแน่นตลอดริมฝั่ง
 พรานอินพาเดินตัดลงมายังที่ราบใกล้น้ำ ตรงโคนต้นกระบกใหญ่ พื้นดินใต้ต้นกระบกค่อนข้างจะเตียน พรานชุ่มและทิดช่วยที่เดินตามมา นึกชมพรานอินที่เลือกทำเลได้ดีน่าพัก พรานชุ่มเดินไปเลือกตัดหาไม้ไผ่ปล้องใหญ่มาหุงข้าว ทิดช่วยไปตัดกิ่งไม้มาทำฟืน พรานอินเดินท่องน้ำไปหาฟันปลา ขากลับก็ยังเก็บผักป่ามาเป็นหอบ ทั้งผักหนาม ผักกูด ผักแพว และหัวปลีกล้วยป่า
 ลมหนาวพัดกระโชกแรงขึ้นเมื่อหมดแสงแดด และเนื่องจากตรงนี้เป็นช่วงเขา สายลมจึงแรงกว่าปกติ เสียงกิ่งไม้แห้งหักหล่นดังกรอบแกรบ ทั้งระยะใกล้และระยะไกล สายลมที่พัดผ่านซอกเขาก็ดังหวีดหวิวน่าวังเวง
 พรานชุ่มเสริมฟืนเข้าไปในกองไฟ ถามพรานอินว่า "เลือกที่ตรงเนี้ย ดึกๆจะนอนกันไหวหรือเปล่าเนี่ย มันหนาวนะ" พรานอินหัวเราะเหอะๆ แล้วเอื้อมมือไปจุดบุหรี่จากกองไฟ และบอกว่า "หนาวตายไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงก็ไม่ตาย แต่ถ้าไม่นอนตรงนี้ ไปนอนในหมู่บ้านนั้น อาจจะตายเพราะอย่างอื่น"
ทิดช่วยพูดในขณะเตรียมตั้งวงข้าวว่า "และใครพอนึกออกบ้างว่ามันเป็นอะไรอ่ะ หายกันไปหมดทั้งหมู่บ้าน ถ้าจะให้ข้าสันนิษฐานนะ หมู่บ้านป่าที่จะร้างมันก็มีไม่กี่สาเหตุหรอก หนึ่ง ไข้แรงจนอยู่กันไม่ไหว หรืออาจจะโดนโรคห่า โรคท้องร่วงอย่างแรง สอง อาจจะโดนสัตว์ร้ายมารบกวน ส่วนมากไม่ช้างก็เสือ สาเหตุนอกจากนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่ะ ไม่นึกว่าจะมีอะไร จนถึงกับต้องย้ายหนี แต่พรานอินไม่เห็นเหรอ ว่าข้าวของทั้งกระบุกตะกร้า ยังเกลื่อนอยู่ลานบ้าน ถ้ามันย้ายก็คงไม่ทิ้งไว้หรอก"
พรานอินฉุดคิด จึงพูดออกมาว่า "เออ จริงของเอ็งว่ะทิดช่วย ข้าถึงว่าสิ นึกยังไงก็นึกไม่ออก เอาเป็นว่าพรุ่งนี้เราไปสำรวจดูกันดีกว่า แต่ตอนนี้หิวข้าวเหลือเกิน กินกันสักทีเถอะ" ทั้งสามคนนั่งล้อมวง มีใบตองปูรองพื้น ข้าวหลามจากกระบอกไม้ไผ่หอมกรุ่นควันฉุย น้ำพริกเผาผักสด ปลาช่อนย่าง และปูหินต้มน้ำแกงผักกับหัวปลี เป็นกับข้าวที่ทุกคนเห็นแล้วต้องน้ำลายสอขึ้นมาทันที...โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

Popular posts from this blog

"ชมรมขนหัวลุก" ตอน ครูวันเพ็ญ

รูปขำๆ ฮาๆ ที่ระเบียงวัดพระแก้ว